การผลิตงานกราฟิก
งานพื้นฐานสำหรับการผลิตสื่อหลักที่เหมาะสมกับสภาพของชั้นเรียนส่วนใหญ่ของประเทศไทยในขณะนี้
ได้แก่ งานกราฟิก ส่วนประกอบของงานกราฟิกที่สำคัญ มี 2 อย่าง ได้แก่ ตัวอักษร และรูปภาพ
ส่วนที่เป็นรูปภาพมีหลายประเภท เช่น ภาพเหมือนจริง ภาพลายเส้นและภาพการ์ตูน
ในการเรียนการสอนนิยมใช้ภาพการ์ตูนเป็นสื่อเพราะกระตุ้นความสนใจได้ดีโดยเฉพาะในวัยเด็ก
ดังนั้นในบทนี้จึงเสนองานกราฟิกที่เป็นภาพการ์ตูนและตัวอักษร
วัสดุที่ใช้ในการผลิตงานกราฟิก
งานกราฟิกเป็นงานที่ใช้ความคิดเกี่ยวกับการจัดองค์ประกอบศิลป์ให้สวยงามเหมาะกับแต่ละงาน
แล้วถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น กระดาษ สี ดินสอ ปากกา
และวัสดุอื่น ๆ
1. กระดาษ
กระดาษเป็นวัสดุเก่าแก่มีมาตั้งแต่โบราณกาลทำจากเยื่อไม้มีหลายชนิด
ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและคุณภาพในการใช้งานแตกต่างกันดังนี้
1.1
กระดาษโปสเตอร์
เป็นกระดาษพื้นสีที่มีเยื่อกระดาษไม่เหนียวมากเท่าที่ควรโดยทั่วไปใช้กับงานโฆษณา
ป้ายนิเทศ หรือสื่อการสอน กระดาษโปสเตอร์มี 2 ชนิดคือ ชนิดหนามีหน้าเดียว
เหมาะกับการเขียนโปสเตอร์ บัตรคำ ทำกล่อง และชนิดบางมี 2 หน้า เหมาะกับงานป้ายนิเทศ
การฉีกปะติด การพับเป็นรูปต่าง ๆ เป็นต้น ทั้ง 2 ชนิดใช้กับสีโปสเตอร์ได้ดี
1.2
กระดาษหน้าขาวหลังเทา นิยมเรียกว่า กระดาษเทา- ขาว เหมาะกับการทำบัตรคำ แผนภูมิ
แผนภาพ พื้นภาพผนึก กล่องที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก การใช้งานนอกจากเขียนด้วย พู่กันกับสีโปสเตอร์แล้ว
ยังสามารถเขียนด้วยปากกาเมจิก ปากกาหมึกซึมให้สวยงามได้ด้วย
1.3
กระดาษวาดเขียน เป็นกระดาษที่มีความหนาหลายขนาด เช่น 80 ปอนด์ 100
ปอนด์เยื่อกระดาษไม่แน่นทำให้ดูดซับน้ำได้ดี เหมาะกับวาดภาพด้วยดินสอ ปากกา
และสีน้ำ หากจะวาดสีน้ำนิยมใช้ชนิด 100 ปอนด์ด้านที่มีผิวขรุขระจะได้ภาพสีน้ำที่ซึมไหลสวยงาม
1.4
กระดาษชาร์ทสี
เป็นกระดาษที่มีผิวมันเรียบเยื่อกระดาษแน่นกว่ากระดาษโปสเตอร์และกระดาษวาดเขียน
โดยทั่วไปเป็นสีอ่อนทั้งสองด้าน เช่น เขียวอ่อน เหลืองอ่อน ฟ้าอ่อน ชมพูอ่อน
เหมาะกับการจัดป้ายนิเทศ ฉีกปะติด ตัดเป็นริ้วยาว พับเป็นรูปทรงต่าง ๆ
1.5
กระดาษอาร์ตมัน เป็นกระดาษที่มีผิวมันเยื่อแน่นเหนียว ไม่ค่อยดูดซับน้ำ
พื้นสีขาวความหนามีหลายขนาด เหมาะกับงานพิมพ์ปกหรือภาพประกอบหนังสือ
เอกสารที่ต้องความทนทาน ต้นฉบับงานพิมพ์
ถ้าเป็นชนิดหนาสามารถพับเป็นกล่องที่ขนาดไม่ใหญ่มากได้
1.6
กระดาษปอนด์ เป็นกระดาษชนิดบางเยื่อกระดาษไม่แน่น สีขาว ที่ขายในท้องตลาดมักจะเป็น
70 - 80 แกรม นิยมใช้กับงานพิมพ์เอกสารทุกระบบ เช่น งานออฟเซ็ท งานโรเนียว
กอปปี้ปริ้นท์ สามารถเขียนด้วยปากกาเมจิก และสีโปสเตอร์ได้ดี แต่ไม่เหมาะกับสีน้ำ
1.7
กระดาษลูกฟูก เป็นกระดาษที่มีลักษณะหนามาก
โครงสร้างตรงกลางเป็นลูกฟูกประกบด้านหน้าและด้านหลังด้วยกระดาษผิวเรียบ
ทำให้แข็งแรงกว่ากระดาษชนิดอื่นเหมาะกับทำสื่อการสอนประเภทการกล่องหรืองานโครงสร้างรูปร่างรูปทรงที่คงทน
2. สีกายภาพ
2.1
จำแนกตามคุณสมบัติของวัตถุที่ใช้ผสม ได้แก่สีเชื้อน้ำ สีเชื้อน้ำมัน
2.1.1 สีเชื้อน้ำ เป็นสีที่ใช้น้ำเป็นส่วนผสมและล้างทำความสะอาดมีดังนี้
สีน้ำ
มีคุณสมบัติบางใส ชนิดเหลวบรรจุในหลอดส่วนชนิดแห้งบรรจุในกล่อง
ผสมและล้างด้วยน้ำสะอาดระบายด้วยพู่กัน
ใช้ระบายภาพบนกระดาษสีขาวหรือกระดาษวาดเขียน เท่านั้น
หากเป็นกระดาษสีหรือกระดาษโปสเตอร์จะเห็นภาพไม่ชัดเจน นอกจาก
นี้สีน้ำไม่เหมาะสำหรับเขียนตัวอักษรหรือข้อความเพราะเนื้อสีบางมองไม่ชัดเจน
สีโปสเตอร์
เป็นที่มีเนื้อสีหยาบกว่าสีน้ำ คุณสมบัติเป็นทึบปานกลาง
เป็นสีที่ใช้ง่ายเหมาะกับการทำสื่อการสอนได้ดี
สามารถทาระบายทับสีเดิมที่แห้งแล้วได้บ้างแต่ไม่สนิทนัก
วัสดุเขียนใช้ได้ทั้งพู่กันกลมและพู่กันแบน ใช้เขียนบัตรคำ สื่อโปสเตอร์ ภาพประกอบ
แผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ
สีพลาสติก
เป็นสีเชื้อน้ำที่มีเนื้อสีหยาบและเข้มข้นกว่าสีโปสเตอร์ ส่วน ผสมสำคัญคือโพลี
ไวนีล อาซิเตท (poly vinyl acetate หรือ PVA) มีคุณ
สมบัติเฉพาะคือขณะที่เปียกสามารถละลายหรือล้างทำความสะอาดได้ด้วยน้ำ แต่ถ้าแห้งแล้วไม่สามารถจะล้างให้หลุดออกได้
เป็นสีมีความทนทานต่อแสงแดดและฝน สามารถทาระบายทับสีเดิมที่แห้งแล้วได้สนิท
เหมาะกับงานที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ เช่น ไม้อัด ผนังปูน ผืนผ้า
นิยมทาระบายสีอาคารทั้งภายนอกและภายใน
สีฝุ่น
เป็นสีที่มีเนื้อสี (pigment) เป็นผง ราคาถูก การใช้งานต้องผสมกับน้ำกาวโดยการคนหรือกวนให้เข้ากัน
ทาระบายกับวัสดุที่เป็นผ้า ไม้อัด ผนังปูน ส่วนใหญ่เป็นงานที่ไม่ถาวรนัก เช่น
ฉากละคร ฉากเวที คัตเอาท์ เป็นต้น
สีหมึก
บางครั้งเรียกว่า หมึกสี มีคุณสมบัติทั้งโปร่งแสงและทึบแสง
หมึกที่ใช้ในการเขียนภาพจะบรรจุในขวดเล็ก ๆ หมึกเขียนแผ่นโปร่งใสหรือแผ่นอาซีเตท
ส่วนหมึกทึบแสง ได้แก่ หมึกอินเดียนอิงค์ และหมึกดำใช้กับปากกาเขียนแบบ
2.1.2 สีเชื้อน้ำมัน
เป็นสีที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนผสมหรือละลายล้างได้มีดังนี้
สีน้ำมันสำหรับเขียนภาพ
มีเนื้อสีละเอียด บรรจุในหลอดหลายขนาด ผสมด้วยน้ำมันลินสีด (lin
seed) การทำความสะอาดอาจจะล้างด้วยน้ำมันกาดหรือน้ำมันเบนซิน
ก็ได้ สามารถเขียนได้กับผ้าใบ ผนังปูน ไม้ สีชนิดนี้มีความทนทานสูง
สีน้ำมันสำหรับทาระบาย
ส่วนใหญ่บรรจุในกระป๋องขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่ขนาด 0.1 ลิตร จนถึง 18 ลิตร ผสมด้วยทินเนอร์ หรือ น้ำมันสน
เหมาะกับการทาระบายวัสดุที่มีพื้นที่กว้าง เช่น ผนังปูน ไม้ฝา รั้ว เฟอร์นิเจอร์
สีชนิดนี้เมื่อแห้งแล้วจะติดทนนานมาก
2.2
จำแนกตามลักษณะการใช้งาน ได้แก่ สีที่ใช้สำหรับเขียนและสีที่ใช้สำหรับ งานพิมพ์
2.2.1 สีที่ใช้สำหรับเขียน เป็นสีที่มีคุณสมบัติข้นเหลว ก่อนใช้งานต้องผสมกับตัวทำละลายให้เหมาะการเขียนได้แก่
สีน้ำ สีโปสเตอร์ สีพลาสติก สีน้ำมัน สีฝุ่น
การใช้งานขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของวัสดุ รูปแบบ คุณภาพ และจำนวนชิ้นงาน
สีเหล่านี้อาจใช้ในการพ่นก็ได้แต่ต้องผสมตัวทำละลายให้เหลวมากกว่าการเขียน
2.2.2 สีที่ใช้สำหรับงานพิมพ์ มีทั้งสีเชื้อน้ำและสีเชื้อน้ำมัน
สีพิมพ์เชื้อน้ำนิยมพิมพ์บนวัสดุที่เป็นผ้าโดยใช้แม่พิมพ์เป็นฉากกั้นแล้วปาดสีผ่านไปยังผ้าที่อยู่ด้านล่าง
วิธีนี้ใช้ได้ทั้งสีเชื้อน้ำและสีเชื้อน้ำมัน ส่วนการพิมพ์ที่ใช้แม่พิมพ์กระทบ กด
อัด (press) กับวัสดุรองรับมักจะใช้สีน้ำมันที่มีคุณสมบัติเข้มข้นและแห้งเร็ว
2.3
จำแนกตามคุณสมบัติทางกายภาพ ได้แก่ สีแห้ง สีฝุ่น สีเหลว หมึกสีและสีของแสง
2.3.1 สีแห้ง มีลักษณะเป็นแท่ง แผ่น ก้อน ได้แก่ สีเทียน สีไม้ สีชอล์ค
สีเหล่านี้ใช้ง่ายเหมาะสำหรับผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษา
2.3.2 สีฝุ่น เป็นสีแห้งแต่มีเนื้อสีเป็นผงฝุ่น
มีทั้งสีย้อมและสีเขียนทาระบาย
สีฝุ่นสำหรับงานเขียนก่อนใช้งานต้องผสมกับน้ำกาวก่อนเสมอ
2.3.3 สีเหลว เป็นสีที่มีเนื้อสีข้นเหลวบรรจุในหลอดหรือกระป๋อง ได้แก่
สีน้ำ สีน้ำมัน สีพลาสติก สีอะไครลิก
2.3.4 หมึกสี เป็นสีที่มีคุณสมบัติเป็นน้ำบรรจุในขวด
นิยมใช้ในการออกแบบเขียนภาพทิวทัศน์ สิ่งประดิษฐ์ และสิ่งก่อสร้าง
2.3.5 สีของแสง หรือที่เรียกว่า สีทางฟิสิกส์
ส่วนใหญ่ใช้ในงานด้านวิทยาศาสตร์ อิเล็คทรอนิคส์ เช่น งานโทรทัศน์ งานคอมพิวเตอร์
เป็นต้น
3. วัสดุขีดเขียน
วัสดุขีดเขียนที่ใช้ในงานกราฟิกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ วัสดุแข็ง และวัสดุอ่อน
3.1
วัสดุแข็ง ได้แก่ ปากกาและดินสอชนิดต่าง ๆ ดังนี้
3.1.1 ปากกาปลายแหลม ปลายปากทำด้วยโลหะ
ใช้จุ่มหมึกเขียนลายเส้นขนาดเล็กมาก เหมาะกับงานต้นแบบลายเส้นที่มีรายละเอียดมาก
3.1.2 ปากกาปลายสักหลาด ปลายปากกาทำด้วยสักหลาดแข็ง
มีทั้งชนิดปลายกลมและปลายตัด
มีหลายสีบรรจุในกล่องใช้ได้ทั้งงานเขียนภาพและตัวอักษร
3.1.3 ปากกาเขียนแบบ เป็นปากกาคุณภาพดี
มีหลายขนาดตั้งแต่เส้นเล็กมากถึงเส้นใหญ่ ใช้กับหมึกที่มีความข้นกว่าหมึกทั่วๆไป
3.1.4 ปากกาเขียนทั่วไป มีทั้งชนิดหมึกน้ำและหมึกเหลว หรือที่เรียกว่า
ปากกาลูกลื่นมีขายในท้องตลาดทั่วไป ใช้ในการจดบันทึกและเขียนภาพลายเส้นได้ด้วย
3.1.5 ดินสอดำ ใช้ในงานร่างแบบ เขียนรูป ภาพลายเส้น ภาพแรเงา
มีคุณสมบัติเข้มและอ่อนต่างกัน ซึ่งกำหนดเป็นตัวเลขและตัวอักษรไว้ดังนี้
H (Hard) เป็นดินสอที่มีไส้แข็ง สีอ่อนจาง เหมาะกับงานร่างแบบ
ความแข็งของไส้ดินสอจะระบุเป็นตัวเลขกำกับไว้ เช่น H, 2H, 3H, 4H เป็นต้น
B (Black) เป็นดินสอที่มีไส้อ่อน สีเข้ม
เหมาะกับงานวาดรูปแรเงา ความอ่อนและความเข้มจะเพิ่มขึ้นตามตัวเลข เช่น B,
2B, 3B, 4B, 5B, 6B เป็นต้น
HB เป็นดินสอที่ใช้กันโดยทั่วไป
มีความแข็งและความเข้มปานกลาง
3.1.6 ดินสอสี บางทีเรียกว่า สีไม้ มีลักษณะเหมือนดินสอดำทุกประการ แต่
ไส้ดินสอเป็นสีต่าง ๆ ใช้ในการวาดภาพระบายสี หรืองานออกแบบกราฟิกอื่น ๆ ได้สวยงาม
3.1.7 ดินสอเครยอง เป็นดินสอที่มีส่วนผสมของดิน สี และไข ใช้การเขียนภาพระบายสีมากกว่าการเขียนตัวอักษร
และใช้เขียนได้ดีบนพื้นกระดาษเท่านั้น
3.1.8 ดินสอถ่าน เป็นดินสอที่มีส่วนผสมของผงถ่านหรือผงฝุ่นสีดำกับกาว
ใช้ในการวาดภาพแรเงา เป็นภาพขาว- ดำ
3.2
วัสดุอ่อน ได้แก่ พู่กัน และแปรงทาสี
3.2.1 พู่กัน เป็นวัสดุอเนกประสงค์ในงานกราฟิกหรืองานศิลปะการออกแบบ
เละงานจิตรกรรม สามารถใช้ได้ทั้งสีเชื้อน้ำและเชื้อน้ำมัน พู่กันมี 2 แบบ คือ พู่กันกลม
ใช้ในการวาดภาพระบายสี ขนปลายพู่กันอ่อนนิ่ม มีหลายขนาดซึ่งกำหนดเป็นเบอร์ เช่น 0,
1, 2, 3, 4, 5,…12
และพู่กันแบน เป็นพู่กันที่มีด้ามยาวใช้ในการเขียนตัวอักษร
บางชนิดมีขนพู่กันแข็งและสั้นกว่าพู่กันกลม
ช่วงปลายโลหะมีลักษณะแบนเพื่อความสะดวกในการเขียนเส้นขนาดเล็กและใหญ่สลับ
กันอย่างต่อเนื่อง พู่กันแบนมีหลายขนาดตั้งแต่เบอร์ 1 ถึง 24
3.2.2 แปรงทาสี เป็นวัสดุที่มีขนแปรงแข็งด้ามสั้น ใช้กับงานพื้นที่กว้าง ๆ
งานที่ไม่ต้องการรายละเอียดมากนัก แปรงทาสีมีตั้งแต่ขนาดความกว้าง 1 นิ้ว ถึง 3 นิ้ว ปัจจุบันหากเป็นพื้นที่กว้างมาก
ๆ เช่น ผนังตึก กำแพง แผ่นไม้อัด
มักจะใช้ลูกกลิ้งสีจะทำได้กว่าเร็วและสีเรียบกว่าการใช้แปรงทาสี
4. วัสดุอื่น
ๆ
วัสดุอื่น
ๆ ที่ใช้ในงานกราฟิกมีหลายชนิด เช่น ไม้ฉากชุด ไม้ที มีดตัดกระดาษ กาวน้ำ
กระดาษกาว เทปกาว กรรไกร ไม้บรรทัด เป็นต้น
ภาพการ์ตูน
การ์ตูนเป็นภาพที่นิยมนำมาใช้ประกอบสื่อทัศนวัสดุต่าง
ๆ ทั้งในวงการการศึกษา ธุรกิจ การค้า โฆษณาและการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ
มีทั้งการ์ตูนแบบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวทำให้สื่อเหล่านั้นมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นความสนใจผู้ชมได้ดี
1. ความหมายของการ์ตูน
“การ์ตูน” เป็นคำทับศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า “Cartoon”
สันนิษฐานว่ามีรากศัพท์มาจากภาษาอิตาลีว่า
“Cartone” (คาโทเน) หมายถึง แผ่นกระดาษที่มีภาพวาด
ต่อมาความหมายของคำนี้อาจเปลี่ยนไปเป็นภาพล้อเลียนเชิงขบขัน เปรียบเปรย เสียดสี
หรือแสดงจินตนาการฝันเฟื่อง
วิททิชและชูเลอร์
(Wittich and Sehuller, 1973, หน้า 126) ให้ความหมายว่า
การ์ตูนเป็นภาพหวัดที่สะท้อนลักษระบุคคลหรือภาพที่มีลักษณะ
สีที่ใช้ในงานกราฟิกมีหลายชนิด
สามารถจำแนกได้หลายวิธีคือ จำแนกตามคุณสมบัติของวัตถุที่ใช้ผสม
จำแนกตามลักษณะการใช้งาน และจำแนกตามคุณสมบัติทาง
เป็นงานออกแบบ
ดังนั้นการ์ตูนจึงมิใช่ภาพเหมือนธรรมชาติจริง แต่เป็นภาพที่มีลักษณะหยาบ ๆ
ที่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาพอะไร
วัฒนะ
จูฑะวิภาต (2523, หน้า 36) กล่าวว่า
การ์ตูนคือภาพสนุกหรือภาพล้อที่ทำให้ผู้ดูเกิดอารมณ์ขัน
ภาพเหล่านั้นอาจเป็นภาพสัญลักษณ์หรือตัวแทนบุคคล ความคิด
หรือสถานการณ์ที่ทำขึ้นเพื่อจูงใจ และให้ความคิดแก่ผู้ดู
ลักษณะประจำตัวที่ดีของการ์ตูนคือการแสดงที่ให้เห็นเพียงแนวคิดเดียว
อาจเป็นภาพเสียดสี ล้อเลียน บางครั้งภาพเหล่านั้นเป็นความคิดฝันที่เกิดความจริง
ภาพเหล่านี้จะเห็นอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร
ซึ่งครูสามารถนำภาพเหล่านั้นมาใช้ประกอบการสอนวิชาต่าง ๆ ได้ดี
สรุปได้ว่า
“การ์ตูน” หมายถึง
ภาพลายเส้นหรือภาพวาดที่มีลักษณะผิดเพี้ยนจากความจริง
แต่ก็ยังยึดหลักเกณฑ์ของความจริงอยู่บ้าง
เขียนขึ้นมาเพื่อการสื่อความหมายมุ่งให้เกิดอารมณ์ขันด้วยการล้อเลียน เสียดสี
ประชดประชัน
การ์ตูน
เมื่อถูกนำมาใช้ในงานลักษณะต่างกันจะมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น โคมิก (comic
) หรือ
คาริคาเตอร์(caricature) หรืออิลลัสเตรท เทล ( illustrated
tale) เป็นต้น
โคมิก
หมายถึง การ์ตูนเรื่องที่มีเรื่องราวต่อเนื่องกันหลายภาพ อาจเป็นตอน ๆ ละ 2-4 ภาพหรือมากกว่า เรียกว่า
การ์ตูนเป็นตอน (comic strip) ถ้าการ์ตูนเรื่องมีความยาวเป็นเล่มๆ
เรียกว่า หนังสือการ์ตูน (comic book) ลักษณะของภาพการ์ตูน โคมิก
จะไม่เน้นความสมจริงของสัดส่วน แต่เน้นที่อารมณ์ขันจากเนื้อเรื่อง
หรือภาพล้อเลียนที่มีสัดส่วนผิดปกติจากธรรมชาติไป
คาริคาร์เตอร์
มาจากรากศัพท์เดิมคือ Caricare ซึ่งหมายถึง ภาพล้อเลียนที่แสดงถึง
การเปรียบเปรย เสียดสี เยาะเย้ย ถากถาง หรือให้ดูขบขันโดยเน้นส่วนด้อยหรือส่วนเด่นของ
ใบหน้าตลอดจนบุคลิกลักษณะให้แตกต่างไปจากธรรมชาติที่เป็นจริง
ส่วนมากมักใช้เป็นภาพล้อทางการเมือง บุคคลสำคัญที่มีชื่อเสียง
อิลลัสเตรท
เทล หมายถึง นิยายภาพ เป็นการเขียนเล่าเรื่องด้วยภาพ
เป็นภาพที่มีลักษณะสมจริงมีส่วนใกล้เคียงกับหลักกายวิภาค
ฉากประกอบและตัวละครมีแสงเงา การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ทำให้สามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านให้คล้อยตามได้เป็นอย่างดี
2. การ์ตูนกับการเรียนการสอน
นักจิตวิทยาและนักการศึกษามีความเห็นพ้องต้องกันว่า
ภาพการ์ตูนมีความสำคัญต่อการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะการ์ตูนมีคุณสมบัติพิเศษในการดึงดูดความสนใจของเด็กอย่างเห็น ได้ชัด
ความสะดุดตาของการ์ตูนจะทำให้เด็กเกิดความกระตือรือร้น ไม่เบื่อง่าย การใช้
ข้อความที่มีภาพประกอบ จะได้รับความสนใจดีกว่าการใช้ข้อความเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบันการ์ตูนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งกับการเรียนการสอนและได้กลายเป็นสื่อการสอนที่ดีทำให้เด็ก
ๆ ชอบ เพราะการ์ตูนให้ความบันเทิง ตลกขบขัน สื่อความหมายให้เข้าใจ ได้ง่าย
การ์ตูนจึงถูกนำมาใช้กับสื่อการสอนต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนภาพ แผ่นโปร่งใส
ภาพโปสเตอร์ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น การ์ตูนที่นำมาใช้กับการเรียนการสอนที่ดีควรมีลักษณะ
ดังนี้คือ สามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน เป็นภาพตลกขบขัน ให้แง่คิดในทางที่ดี
เป็นภาพง่าย ๆ ใช้เส้นไม่มาก ลากได้รวดเร็ว มีลักษณะเด่น สวยงาม
สะอาดตาทำให้ผู้เรียนเกิดความประทับใจ
3. รูปลักษณะของการ์ตูน
ภาพการ์ตูนที่นำมาใช้กับสื่อการเรียนการสอนในปัจจุบันมี
3
ลักษณะได้แก่ การ์ตูนโครงร่างหรือการ์ตูนก้านไม้ขีด
การ์ตูนล้อเลื่อนของจริงและการ์ตูนเลียนของจริง
3.1
การ์ตูนโครงร่างหรือการ์ตูนก้านไม้ขีด (match - stick type) เป็นการ์ตูนอย่างง่ายที่เขียนโดยใช้เส้นเดี่ยว
ๆ แสดงลักษณะท่าทางของสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจผิดเพี้ยนไปจากของจริง
แต่ใช้เพื่อความรวดเร็วในการเขียน
เหมาะสำหรับใช้เขียนประกอบการสอนโดยเขียนลงบนกระดานดำ หรือเขียนบนสื่ออื่น ๆ ได้
3.2
การ์ตูนล้อเลียนของจริง (cartoon type) เป็นภาพที่เขียนบิดเบือนให้ผิดเพี้ยนไปจากความจริง
แต่ยังคงลักษณะเดิมของต้นแบบหรือของจริงไว้ เน้นลักษณะเด่นๆ โดยมีจุด
มุ่งหมายจะล้อเลียนให้เกิดอารมณ์ขัน
การ์ตูนแบบนี้จะพบเห็นได้ทั่วไปในการล้อเลียนนักการเมืองและบุคคลในหนังสือพิมพ์
นิตยสาร ภาพโฆษณา
3.3
การ์ตูนเลียนของจริง (realistic type) เป็นการ์ตูนที่มีลักษณะและสัดส่วนคล้ายกับของจริงตามธรรมชาติ
ทั้งสัดส่วน รูปร่าง ท่าทาง และสภาพแวดล้อม แต่ไม่ถึง กับเป็นภาพวาดเหมือนจริง
มีการตัดรายละเอียดที่ไม่ต้องการออกไปเพื่อให้ดูง่ายและสื่อความ
หมายได้ความรู้สึกแตกต่างไปจากภาพเหมือนจริงทั่วไป
4. เทคนิคการเขียนภาพการ์ตูน
เทคนิคการเขียนภาพการ์ตูนประกอบด้วยการเขียนภาพการ์ตูนลายเส้นธรรมดา
การวาดภาพการ์ตูนเรื่องและการใช้สีไม้กับการ์ตูน
4.1
การเขียนภาพการ์ตูนลายเส้นธรรมดา
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการ์ตูนเป็นภาพเขียนผิดเพี้ยนไปจากรูปปกติธรรมดาเน้นให้เกิดอารมณ์
ขบขันจากการบิดเบี้ยวของเส้น สี รูปร่าง รูปทรง ไม่เน้นความเหมือนจริงตามธรรมชาติ
การฝึกเขียนการ์ตูนเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยเขียนมาก่อน
ควรคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ ดังนี้
ความเชื่อมั่นในตนเอง
ควรระลึกอยู่เสมอว่าการเขียนภาพให้ผิด
เพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากธรรมชาติย่อมเขียนได้ง่ายกว่าการเขียนภาพเหมือนจริง
เพราะไม่ต้องกังวลกับความถูกต้องของสัดส่วนต่าง ๆ แบบภาพเหมือนจริง
ในความเป็นจริงเราอาจเขียนภาพให้บิดเบี้ยว (distortion) หรือภาพแบบนามธรรม (abstract)
ก็ได้
วัสดุเขียน
การใช้วัสดุเขียนที่ถาวรไม่สามารถลบได้ เช่น ปากกาลูกลื่น หรือ ปากกาหมึกซึม
จะช่วยให้ผู้เรียนเขียนอย่างระมัดระวังใจจดใจจ่อ ไม่ควรใช้ดินสอกับยางลบ
เนื่องจากการลบเป็นเหตุให้ขาดความตั้งใจ
การเขียนภาพด้วยปากกาหากเส้นหรือรูปร่างบิดเบี้ยวไป
ควรปล่อยให้เบี้ยวอยู่เช่นนั้นตลอดไป
เพราะการบิดเบี้ยวเป็นคุณสมบัติที่ดีของการ์ตูน ซึ่งก่อให้เกิด
อารมณ์ขันได้เป็นอย่างดี
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเส้น
เส้นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการเขียนการ์ตูน
เส้นที่มีลักษณะสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จะให้ความรู้สึกมั่นคง มีจุดหมายแน่นอน
เมื่อเขียนรูปภาพด้วยเส้นลักษณะนี้ก็จะทำให้รูปภาพมีความมั่นคงและชัดเจนไปด้วย
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของการเรียนรู้
การเลียนแบบ (imitation) เป็นวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่งที่จะนำไปสู่การสั่งสมประสบการณ์แล้วเก็บไว้เพื่อเป็น
พื้นฐานในการแปลความสิ่งเร้าที่จะรับรู้และเรียนรู้เรื่องใหม่ต่อไป
การเลียนแบบจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างจากการลอกแบบ (copy)
อย่างสิ้นเชิง
การถ่ายทอดจินตนาการเป็นรูปภาพโดยขาดทักษะประสบการณ์จะทำให้เกิดความอึดอัดมึนงงคิดไม่ออก
เมื่อเขียนภาพออกมาแล้วมักจะไม่ได้ดั่งใจต้องการ ในที่สุดจะอ่อนล้า
ท้อถอยอาจเป็นเหตุให้เบื่อการเขียนภาพไปเลย วิธีแก้ไขควรใช้กระบวนการเรียนตามธรรมชาติ
โดยการสังเกตภาพการ์ตูนแล้วลงมือเขียนตามสภาพจริงและตกแต่งได้ตามความคิดและจินตนาการ
การ์ตูนแสดงพฤติกรรมได้
2
ส่วนได้แก่ ส่วนใบหน้า แสดงอารมณ์ต่างๆ เช่น ดีใจ เสียใจ โกรธ ตกใจ และส่วนลำตัว
แสดงอารมณ์กิริยาท่าทางต่างๆ เช่น เดิน นอน วิ่ง กระโดด เล่นกีฬา แบกหาม
การฝึกเขียนภาพการ์ตูนอาจฝึกทีละส่วนแล้วนำมาประกอบกัน
หรือเขียนกิริยาท่าทางให้ได้แล้วจึงฝึกเขียนอารมณ์ทางใบหน้าก็ได้
และโปรดจำไว้ว่าการหมั่นฝึกสังเกตผลงานการ์ตูนอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เป็นนักเขียนการ์ตูนที่ดีมีความสามารถในการสร้างสื่อการเรียนการสอนประเภทวัสดุกราฟิกได้ด้วยตนเอง
4.2
การวาดภาพการ์ตูนเรื่อง
หลังจากผู้เรียนมีประสบการณ์ในการฝึกเขียนภาพการ์ตูนแบบทีละรูปด้วยปากกา
จนมีทักษะและมีความมั่นใจแล้ว ผู้เรียนควรพัฒนาประสบ
การณ์และความมั่นใจให้สูงขึ้นไปตาม ลำดับด้วยการสร้างสรรค์ภาพการ์ตูนเป็นเรื่องราวที่มีเนื้อหาซับซ้อนมากขึ้นโดยมีข้อเสนอแนะดังนี้
ให้ผู้เรียนแต่ละคนศึกษาภาพการ์ตูนหลาย
ๆ ภาพ จากแหล่งต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูนเด็ก ภาพโฆษณา กล่องสินค้า ฯลฯ
แล้วนำมาวาดรวมกันด้วยปากกาเป็นเรื่องราวในกรอบเดียวกันจัดภาพให้ดูสวยงาม
ตามความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของแต่ละคน
การจัดภาพที่มีลักษณะซ้อนบังกัน
ซึ่งควรมีขั้นตอนการเขียนตาม ลำดับคือ การเขียนฉากหน้า(foreground)
ฉากกลาง(middle
ground) และฉากหลัง
(background)
เมื่อผู้เรียนฝึกเขียนการ์ตูนเรื่องราวเสร็จแล้ว
แต่ละคนสามารถประเมินตนเองได้โดยใช้หลักเกณฑ์การประเมินการวาดภาพการ์ตูนลายเส้นในหัวข้อต่าง
ๆ เช่น ลักษณะของเส้นที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจไม่มีการขีดเส้นซ้ำไปซ้ำมา
ขนาดของตัวละครไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป บุคลิกและอารมณ์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
การจัดองค์ประกอบภาพแสดงการซ้อนบังกันของวัตถุทำให้มีมิติตื้นลึกได้
ความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายทอด โดยแต่ละหัวข้อกำหนดเป็นค่าคะแนน ดังตารางที่ 10.1
4.3
การใช้สีไม้กับการ์ตูน สีไม้เป็นสีแห้งมีคุณสมบัติเหมือนดินสอทั่วไป
แต่มีหลายสีสามารถเลือกใช้ได้ตามต้องการ
เป็นสีที่ใช้งานได้อย่างง่ายดายไม่ต้องผสมกับวัสดุใด ๆ เพียงแต่เหลาปลายให้แหลมก็ระบายสีได้ทันที
การระบายสีการ์ตูนด้วยสีไม้ให้ดูสวยงามมีวิธีการดังนี้
4.3.1 การจำแนกสี เป็นการจัดสีเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
โดยจำแนกเป็น 2
กลุ่ม คือ สีวรรณะร้อน และสีวรรณะเย็น
กลุ่มสีวรรณะร้อน
ประกอบด้วยสีเป็นชุด ๆ ได้แก่ แดง-ส้ม-เหลือง น้ำตาล-แดง-ส้ม ดำ-น้ำตาล-แดง
กลุ่มสีวรรณะเย็น
ประกอบด้วยสีเป็นชุด ๆ ได้แก่ เขียวแก่-เขียวอ่อน-เหลือง
น้ำเงิน-เขียวแก่-เขียวอ่อน ดำ-น้ำเงิน-เขียวแก่
กลุ่มสีอื่น
ๆ เป็นสีที่ไม่อยู่ในวรรณะใดวรรณะหนึ่งโดยเฉพาะ สามารถใช้ได้กับสีวรรณะใดก็ได้ได้แก่
แดง-ม่วง-น้ำเงิน ฟ้า-ชมพู
4.3.2 การระบายสีไม้ การระบายสีการ์ตูนให้สวยงามด้วยสีไม้มีเทคนิค ดังนี้
การระบายสีบริเวณใดบริเวณหนึ่งที่มีขอบเขตเดียวกันควรระบายสีเป็นชุด เช่น ใบไม้ 1 ใบ อาจระบายด้วยสีชุด ดำ-แดง-ส้ม หรือ
น้ำเงิน-เขียวแก่-เขียวอ่อน หรือ น้ำตาล-แดง-ส้ม
ก็ได้ขึ้นอยู่กับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน
ช่วงรอยต่อแต่ละสี
ควรระบายให้กลมกลืนกันอย่างสนิท
โดยการเกลี่ยระบายแต่ละสีให้ทับซ้อนกันอย่างแผ่วเบา
ดังนั้นรอยต่อของสีแต่ละสีไม่ควรตัดกันเหมือนขนมชั้น
ควรเหลาไส้สีไม้ให้แหลมคมอยู่เสมอ
และขณะระบายควรตั้งสีไม้ให้ตรงประมาณ 85-90 องศา
จะทำให้ได้สีสดใสแจ่มชัดกว่าปลายไส้ไม่แหลมและการวางแท่งสีไม้แบบเอียง ๆ
การระบายสีให้ดูสดใสโดดเด่นได้สีอิ่มเต็มที่
ควรระบายประมาณ 2-3 รอบ โดยระบายรอบแรกให้แผ่วเบาและค่อยๆ
เน้นหนักในรอบที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
เมื่อระบายสีเสร็จแล้ว
ผู้เรียนสามารถประเมินผลด้วยตนเองได้โดยอาศัย ตารางการประ
เมินผลการวาดระบายสีการ์ตูนด้วยสีไม้เป็นแนวทาง
5. ประโยชนของการเขียนภาพการ์ตูน
ดังได้กล่าวแล้วว่าการ์ตูนมีความสำคัยต่อเด็กและการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ถ้าศึกษา
ในรายละเอียดจะเห็นได้ว่าการเขียนภาพการ์ตูน
เป็นกิจกรรมที่พัฒนาความสามารถของผู้เรียนได้ในทุกด้านดังต่อไปนี้
5.1
ด้านร่างกาย
กิจกรรมการเขียนภาพการ์ตูนพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือกับประสาทตาได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนภาพแบบโครงร่างของนอก
(contour dawing) เป็นการฝึกเพื่อเชื่อมโยงการรับรู้สู่การสัมผัสและถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรม
เมื่อฝึกฝนจนชำนาญก็จะมีประโยชน์ในการปฏิบัติงานในลักษณะนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว
5.2
ด้านอารมณ์ กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นให้มีบรรยากาศแห่งความสำเร็จ
ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ อารมณ์ดี จิตใจผ่องใส
การเขียนภาพการ์ตูนเป็น กิจกรรมที่ประสบผลสำเร็จได้ง่าย
เนื่องจากการ์ตูนเป็นภาพอิสระสามารถเขียนให้บิดเบี้ยวได้โดย
ไม่ต้องคำนึงถึงสัดส่วนเหมือนจริง
เพราะโดยธรรมชาติของภาพการ์ตูนยิ่งบิดเบี้ยวมากเพียงใดก็ยิ่งกระตุ้น
อารมณ์ขันได้มากถึงเพียงนั้น
5.3
ด้านสังคม กระบวนการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนมีโอกาสแสดงออก
ช่วยกันสรุปประเด็นต่างๆ เป็นส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคมไปในตัว
การปฏิบัติงานเขียนภาพการ์ตูน ผู้เรียนมีอิสระเดินไปมาได้
ขณะเดียวกันได้ชื่นชมผลงานของเพื่อน ๆ อาจมี การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
5.4
ด้านสติปัญญา กิจกรรมการเขียนการ์ตูนส่งเสริมความสามารถผู้
เรียนด้านสติปัญญาได้มาก เริ่มตั้งแต่การรู้จักสังเกต ความเข้าใจเนื้อหาบทเรียน
การเรียนรู้องค์ประกอบสำคัญและวิธีการวาดภาพการ์ตูนให้มีประสิทธิภาพ
การเรียนรู้ความสัมพันธ์ของวัสดุที่ใช้ขีดเขียนกับความตั้งใจอย่างจดจ่อ
และเรียนรู้ถึงความจริงที่เป็นธรรมชาติของการ์ตูน การ์ตูนต้องเป็นภาพ
บิดเบี้ยวไม่เหมือนจริงซึ่งใคร ๆ ก็สามารถฝึกเขียนได้
เป็นวิธีคิดที่ไม่ติดยึดกับความกังวลกันเป็นผลมาจากความเชื่อเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้นั่นเอง
นอกจากนี้การเขียนการ์ตูนยังทำให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการที่จะสื่อภาพออกมาให้น่ารักสวยงามหรือมีอารมณ์ขันอีกด้วย
ตัวอักษร
ตัวอักษรเป็นองค์ประกอบหนึ่งของวัสดุกราฟิกที่สามารถสื่อความหมายได้ด้วยการอ่านของผู้เรียน
ตัวอักษรประดิษฐ์มีลักษณะแตกต่างจากตัวอักษรมาตรฐานที่ใช้ในเอกสารทางราชการหรือตำราเรียนทั่วไป
มีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นความสนใจทำให้รับรู้ได้ชัดเจน และเน้นสาระสำคัญ การประดิษฐ์ตัวอักษรสามารถทำได้
2
วิธีคือ การประดิษฐ์ด้วยมือโดยตรง และการใช้เครื่องมือหรือวิธีการอื่น ๆ
ซึ่งแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้
1. การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยมือโดยตรง
เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด
เพียงใช้วัสดุสำหรับเขียน เช่น พู่กัน ดินสอ ปากกา ขีดเขียนลงบนวัสดุรองรับได้เลย
แต่การประดิษฐ์ตัวอักษรโดยวิธีนี้ต้องฝึกฝนบ่อย ๆ จึงจะเกิดความชำนาญ
1.1
การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยพู่กันแบน พู่กันแบนเป็นวัสดุเขียนที่มีขนแปรง
อ่อนนิ่มมีประโยชน์ในการใช้งานอย่างกว้างขวาง
สามารถใช้เขียนได้กับวัสดุรองรับแทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นกระดานโลหะ พลาสติก ไม้
ผนังปูน การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยพู่กันแบนสามารถเขียน
ตัวอักษรได้ทั้งแบบพับผ้าและแบบเส้นคู่ขนาน
การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยพู่กันแบนให้ได้ผลดีมีวิธีการดังนี้คือ
นั่งตัวตรงตามสบาย ไม่ให้ลำตัวชิดกระดาษมากเกินไป
วางกระดาษให้ตรงกับขอบโต๊ะและค่อนไปทางขวามือเล็กน้อย หลังจากจุ่มสีแล้ว
จับพู่กันให้กระชับมือเหมือนจับปากกาทั่ว ๆ ไป ตั้งพู่กันประมาณ 80
– 90
องศา ให้สันมือเป็นส่วนสัมผัสกระดาษ ลากพู่กันด้วยการเคลื่อนไหวข้อศอกกับหัวไหล่
การลากพู่กันควรลากจากบนลงล่างและซ้ายไปขวา การลากเส้นควรลากด้วยอิริยาบถสบาย ๆ
ไม่ควรเกร็งนิ้วหรือแขน การเขียนคำหรือประโยคควรชำเลืองดูตัวอักษรซ้ายมือเสมอ
การสังเกตเส้นสี ถ้าเส้นขาด ๆ หาย ๆ เป็นเส้นแตก แสดงว่าสีข้นเกินไป
แต่ถ้าเส้นที่บางใสปลายเส้นมีน้ำนองแสดงว่าสีเหลวเกินไป
อย่างไรก็ตามผู้เรียนต้องหมั่นฝึกฝน สังเกตและปรับปรุงให้ได้ผลงานที่ดีอยู่เสมอ
1.2
การประดิษฐ์ตัวอักษรหัวเรื่อง
ตัวอักษรหัวเรื่องมีประโยชน์ในการสรุปเนื้อหาเป็นข้อความสั้น ๆ กระชับ
กระตุ้นความสนใจด้วยความหมายที่ทำให้ฉงนสนเท่ห์
แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวทั้งหมดไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ลักษณะตัวอักษรหัวเรื่องมี 2 แบบ ได้แก่ แบบเส้น คู่ขนาน
และแบบบรรทัด 6
เส้น
แบบเส้นคู่ขนาน
มีขั้นตอนในการทำอย่างง่าย ๆ โดยการลากเส้นแกนเป็นข้อความด้วยตัวอักษรธรรมดา
ให้มีขนาดใหญ่และช่องไฟห่างกว่าปกติมาก ๆ
เสร็จแล้วลากเส้นขนานเส้นแกนตลอดแนวตัวอักษรแต่ละตัวจนครบถ้วน
จากนั้นจึงเป็นขั้นการตกแต่งให้สวยงาม ดังภาพที่ 10.9
แบบบรรทัด
6
เส้น มีวิธีประดิษฐ์ให้สวยงามได้โดยอาศัยบรรทัดทั้ง 6 เส้น และช่อง 5 ช่องสำหรับบรรจุตัวอักษร
การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยวิธีนี้ต้องใช้แบบหรือฟอนท์ (font)
จากคอมพิวเตอร์หรือชิ้นงานสิ่งพิมพ์ต่าง
ๆ เป็นแม่แบบในการประดิษฐ์หรือฝึกฝน ผู้ที่ไม่คุ้นเคยหรือขาดประสบการณ์ในการออกแบบควรหลีกเลี่ยงการคิดหรือการประดิษฐ์เอง
โดยไม่ใช้แบบตัวอย่าง เพราะอาจทำให้ได้ตัวอักษรที่ไม่ได้สัดส่วนที่ดี ดูแล้วไม่สวย
อาจทำให้หมดกำลังใจหรือมีเจตคติคติไม่ดีต่อการออกแบบงานกราฟิก
การประดิษฐ์ตัวอักษรหัวเรื่องด้วยบรรทัด 6 เส้น มีขั้นตอนดังภาพที่ 10.10
ขั้นที่
5
ในกรณีที่ต้องการให้ตัวอักษรดูพลิ้วไหว อ่อนหวาน
ให้ร่างเส้นบรรทัดเป็นแนวตามต้องการเสียก่อน
แล้วจึงออกแบบตัวอักษรให้เคลื่อนไปตามทิศทางของเส้น
2. การประดิษฐ์ตัวอักษรด้วยเครื่องมือ
เครื่องมือที่ใช้ในการประดิษฐ์ตัวอักษรมีหลายชนิดนับตั้งแต่เครื่องมือพื้นฐาน
เช่น เท็มเพลท (template) ตัวอักษรลีรอย (leroy)
ตัวอักษรลอกหรือเล็ตเตอร์เพรส (letter
press) จนถึงเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูง
เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการประดิษฐ์ตัวอักษร มีดังนี้
2.1
เท็มเพลท เป็นแบบตัวอักษรที่เจาะทะลุเป็นตัว ๆ บนแผ่นพลาสติกบาง ๆ
ตัวอักษรมีหลายขนาด
เมื่อต้องการใช้ก็วางตัวอักษรบนเท็มเพลทให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ
แล้วร่างดินสอหรือปากกาตามแบบตัวอักษรดังกล่าว
จึงนับเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ได้ง่ายที่สุด
2.2
ตัวอักษรลีรอย เป็นร่องตัวอักษรบนไม้บรรทัด การใช้งานต้องใช้คู้กับเครื่องเขียน
ตัวอักษรลีรอย หรือที่เรียกว่า ก้ามปู โดยใช้ขาก้ามปูลากไปตามร่องตัวอักษร
ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของก้ามปูจะยึดปากกาเขียนแบบไว้อย่างแน่นกระชับก็จะเคลื่อนเป็นรูปตัวอักษรตามขาของก้ามปูที่เคลื่อนไปตามร่องแบบตัวอักษร
2.3
เล็ตเตอร์เพรส เป็นตัวอักษรบนแผ่นพลาสติกมีหลายแบบหลายขนาด
สามารถลอกติดกระดาษได้อย่างง่ายดาย
ปัจจุบันเครื่องพื้นฐานเหล่านี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนในอดีต
เพราะมีเครื่องมือหรือวิธีใหม่ ๆ ที่ที่มีประสิทธิภาพในการประดิษฐ์ตัวอักษรได้ดียิ่ง
2.4
เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องที่มีประโยชน์ในการใช้งานแทบทุกสาขาอาชีพ
โดยเฉพาะการออกแบบกราฟิกคอมพิวเตอร์สามารถตอบสนองจิตนาการ
หรือความคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบได้อย่างไร้ขีดจำกัด
แม้ผู้ที่ขาดทักษะการประดิษฐ์ตัวอักษรก็สามารถออกแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพียงแต่มีความรู้พื้นฐานในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยว
ข้องกับงานกราฟิกก็สามารถผลิตงานกราฟิกได้อย่างสวยงาม เช่น โปรแกรมอีลลาสเตรเตอร์
โปรแกรม พาวเวอร์พอยท์ ดังภาพที่ 10.12 โปรแกรมโฟโต้ช็อฟ
บทสรุป
งานกราฟิกเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการวาดภาพและตัวอักษรเพื่อการสื่อความหมายและเป็นพื้นฐานการออกแบบตกแต่งสื่อประเภททัศนวัสดุทุกชนิด
ในการผลิตงานกราฟิกนอกจากต้องคำนึงถึงองค์ประกอบศิลป์
แล้วยังต้องคำนึงถึงวัสดุที่ใช้ในงานกราฟิก เช่น กระดาษ ดินสอ สี พู่กันประกอบด้วย
งานกราฟิกที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนได้แก่ รูปภาพและตัวอักษร
รูปภาพที่ประดิษฐ์ได้ง่ายและช่วยกระตุ้นความสนใจได้ดี ได้แก่ ภาพการ์ตูน
ซึ่งเป็นภาพเขียนที่ผิดเพี้ยนไปจากภาพปกติ เน้นให้เกิดอารมณ์ขัน
ผู้เขียนภาพไม่ต้องกังวลเรื่องความถูกต้องเหมือนจริง
ทั้งภาพการ์ตูนและตัวอักษรสามารถประดิษฐ์ได้ด้วยมือโดยตรงและการใช้เครื่องมือต่าง
ๆ ซึ่งมีเทคนิควิธีและต้องการการฝึกฝนจนชำนาญจึงจะใช้งานได้ดี